วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ปลาเสือตอลายใหญ่

ปลาเสือตอลายใหญ่



ปลาเสือตอลายใหญ่ (อังกฤษSiamese tigerfish, Finescale tigerfish) เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Datnioides pulcher เป็นปลาที่อยู่ในวงศ์ปลาเสือตอ (Datnioididae)

ลักษณะ

มีรูปร่างแบนข้าง ปากยาวสามารถยืดได้ ครีบก้นเล็กมีก้านครีบแข็ง 3 ชิ้น ครีบหลังแบ่งเป็น 2 ตอน ตอนแรกเป็นก้านครีบแข็งมีเงี่ยง 13 ชิ้น ตอนหลังเป็นครีบอ่อน พื้นลำตัวสีเหลืองน้ำตาลจนถึงสีส้มอมดำ มีแถบสีดำคาดขวางลำตัวในแนวเฉียงรวมทั้งสิ้นประมาณ 5-6 แถบ หรือ 7 แถบ ส่วนหัวมีลักษณะลาดเอียงมาก เกล็ดเป็นแบบสาก มีลักษณะนิสัยอยู่เป็นฝูงเล็ก ๆ ใต้น้ำ โดยมักจะอาศัยบริเวณใกล้ตอไม้หรือโพรงหินด้วยการอยู่ลอยตัวอยู่นิ่ง ๆ หัวทิ่มลงเล็กน้อย หากินในเวลากลางคืน โดยกินอาหารแบบฉกงับ อาหารได้แก่ สัตว์น้ำขนาดเล็กและแมลงต่าง ๆ มีขนาดลำตัวโตสุดประมาณ 40เซนติเมตร น้ำหนักหนักได้ถึง 7 กิโลกรัม

พฤติกรรม

ปลาเสือตอลายใหญ่ พฤติกรรมในการกินอาหาร คือ มักจะกินเฉพาะอาหารที่มีชีวิตหรือเคลื่อนไหวได้เท่านั้น หากจะให้กินอาหารที่ตายต้องใช้ระยะเวลาในการฝึก น้อยรายมากที่จะฝึกให้กินอาหารเม็ดได้

การกระจายพันธุ์

อาศัยอยู่ตามแม่น้ำสายใหญ่ในภาคกลางของประเทศไทย เช่น แม่น้ำเจ้าพระยาแม่น้ำแม่กลองแม่น้ำท่าจีน ในภาคอีสานเช่น แม่น้ำโขงและสาขา ต่างประเทศพบที่กัมพูชาและเวียดนาม โดยเฉพาะทื่บึงบอระเพ็ดเป็นที่ขึ้นชื่อมากเพราะมีรสชาติอร่อย กล่าวกันว่า ใครไปถึงบึงบอระเพ็ดแล้ว ไม่ได้กินปลาเสือตอ ถือว่าไปไม่ถึง แต่ปัจจุบัน ไม่มีรายงานการพบมานานแล้ว จนเชื่อว่าสูญพันธุ์จากธรรมชาติแล้วในประเทศไทย

การอนุรักษ์

ปลาเสือตอลายใหญ่เป็นปลาที่ได้รับการคุ้มครองจากกฎหมายในประเทศไทย เป็นสัตว์น้ำจืดคุ้มครองของกรมประมงร่วมกับปลาชนิดอื่น อีก 3 ชนิด (ปลาตะพัด (Scleropages formosus), ปลาหมูอารีย์ (Yasuhikotakia sidthimunki) และ ปลาค้างคาวดอยอินทนนท์ (Oreoglanis siamensis)) ซึ่งหากใครจะค้าขายหรือเพาะเลี้ยงต้องได้รับการอนุญาตก่อน
เป็นปลาที่ได้รับความนิยมมากจากนักเลี้ยงปลาสวยงาม เพราะมีสีสันและลวดลายที่สวยงาม เมื่อเวลาล่าเหยื่อจะกางครีบทุกครีบ ก่อนจะฉก แม้จะมีราคาที่แพง เพราะหายาก ปลาที่มีขายในตลาดปลาสวยงามทุกวันนี้ นำเข้าจากประเทศกัมพูชาและเวียดนาม แม้ปัจจุบัน มีผู้เพาะพันธุ์ได้แล้วจากการผสมเทียม แต่ยังได้ผลไม่แน่นอนและไม่คุ้มค่ากับการลงทุน แต่ก็ยังมีความพยายามอยู่จากทั้งภาครัฐ[3]และเอกชน
หลวงมัศยจิตรการและ ศ.โชติ สุวัตถิ ได้กล่าวถึงปลาเสือตอลายใหญ่ไว้ในปี พ.ศ. 2503 ว่า
ปลาชนิดนี้มีรูปร่างและลายคล้ายปลาเสือ จึงได้ชื่อว่าเป็นปลาเสือไปด้วย แต่พ่นน้ำไม่ได้ เป็นปลาที่ทนทาน และสามารถเลี้ยงไว้ในอ่างแก้วได้ โดยให้เนื้อและกุ้งเป็นอาหาร นับว่าเป็นปลาที่สวยงามชนิดหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีผู้นิยมรับประทานเพราะเนื้อแน่นแสนอร่อย เฉพาะที่ปากน้ำโพ ปลาชนิดนี้ขายได้ราคาดี แต่นาน ๆ จะมีมาตลาดสักคราวหนึ่ง



ที่มา : 
  1. Binohlan, C. B., Torres, A. G., & van Uitert, K. (n.d.). Datnioides pulcher (Kottelat, 1998); Siamese tiger perch. In FishBase. Retrieved October 6, 2013, fromhttp://www.fishbase.org/summary/50395
  2. กระโดดขึ้น Vidthayanon, C. (2011). "Datnioides pulcher"IUCN Red List of Threatened Species. Version 2013.2International Union for Conservation of Nature. สืบค้นเมื่อ 20 May 2014.
  3. กระโดดขึ้น เพาะ'ปลาเสือตอ' คืนสู่ธรรมชาติ จากข่าวสด
  4. กระโดดขึ้น สมโภชน์ อัคคะทวีวัฒน์. สาระน่ารู้ ปลาน้ำจืดไทย เล่ม ๒. กรุงเทพฯ : องค์การค้าของคุรุสภา, 2547. 257 หน้า. หน้า 135. ISBN 974-00-8738-8

วันพุธที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ปลาบอลลูน มอลลี่ ตัวสั้นอ้วนกลม สีสันหลากหลาย


  

ปลาบอลลูน มอลลี่ ตัวสั้นอ้วนกลม สีสันหลากหลาย




 ปัจจุบัน ปลาบอลลูน มอลลี่ เป็นปลาสวยงามอีกชนิดหนึ่งที่คนไทยเลี้ยงเพื่อการส่งออก โดยส่งไปขายยังฮ่องกง, ไต้หวัน, สหรัฐอเมริกา ฯลฯ เนื่องจากเป็นปลาสวยงามที่มีความหลากหลายสีสันอีกชนิดหนึ่ง ถึงแม้จะมีลวดลายน้อยกว่าปลาหางนกยูง แต่จะเด่นกว่าตรงครีบกระโดงหลังที่สูงและแผ่สะดุดตา ลักษณะเด่นของปลาบอลลูนคือ ลำตัวกลมเหมือนบอลลูน (ยิ่งกลมยิ่งสวย) ลำตัวสั้นและอ้วน การเลี้ยงปลาสวยงามชนิดนี้ในบ้านเรามีอยู่หลายชนิด ถ้าแยกเป็นสีได้แก่สีขาว, ดำ, ส้ม, เหลือง, ลายขาว-ดำ, ลายขาว-น้ำตาล, ลายขาว-ดำ-เหลือง และสีช็อกโกแลต เป็นต้น

          คุณวินัย เจริญวงศ์ ชาวตำบลดอนทราย อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี เลี้ยงปลาบอลลูน มอลลี่ มานาน 6-7 ปี ได้อธิบายถึงวิธีการเพาะขยายพันธุ์ปลาชนิดนี้ว่าทำง่าย เป็นปลาที่ออกลูกเป็นตัว อัตราการปล่อย 1 : 3 คือ ตัวผู้ 1 ตัวต่อตัวเมีย 3 ตัว จะปล่อยให้ผสมพันธุ์ในบ่อปูนหรืออ่างก็ได้ คุณวินัยบอกว่าบ่อยิ่งกว้างจะปล่อยพ่อ-แม่พันธุ์ได้มาก โดยคิดอัตราปล่อยอัตรา 100 ตัวต่อพื้นที่บ่อ 1 ตารางเมตร ให้น้ำมีระดับความลึกประมาณ 30 เซนติเมตร พ่อ-แม่พันธุ์ควรจะใช้ปลาหนุ่ม-สาวอายุ 4-6 เดือน ถ้าปลามีอายุมากกว่านี้จะปลดระวางขายเป็นปลาไซซ์ใหญ่ จากที่ได้กล่าวมาแล้วว่าปลาบอลลูน มอลลี่จะออกลูกเป็นตัวเหมือนกับปลาหางนกยูงและปลาสอด

          แม่ปลาจะตั้งท้องประมาณ 28-35 วัน และแต่ละแม่จะให้ลูกครั้งละ 10-30 ตัว แล้วจะพักไป 10-15 วัน ก็จะให้ลูกอีก ดังนั้นคนที่เพาะเลี้ยงปลาชนิดนี้จะต้องคัดลูกปลาออกทุกวันไม่เช่นนั้นพ่อ และแม่จะกินลูกจนหมด ในบ่อหรืออ่างควรจะมีไม้น้ำ เช่น ผักตบชวา, สาหร่าย, เชือกปอฟางฉีกฝอยเพื่อให้ลูกปลามีที่หลบซ่อน คุณวินัยบอกว่าบ่อที่ใช้ในการอนุบาลลูกปลาควรจะขัดให้สะอาดและตากแดดอย่างน้อย 2 วันเพื่อฆ่าเชื้อโรค อาหารที่ใช้เลี้ยงลูกปลาให้ไรแดง 2 มื้อ เช้า-เย็น โดยให้พอประมาณ (ให้มากไปจะทำให้น้ำเน่าเร็ว) 
          พอโตได้สักระยะหนึ่งเปลี่ยนมาให้อาหารปลากินพืชเม็ดเล็ก เมื่อลูกปลามีอายุได้ราว 1 เดือน ให้คัดแยกตัวผู้และตัวเมียออก วิธีการสังเกตปลาตัวผู้และตัวเมียคือ ปลาตัวผู้ขนาดจะเล็กกว่าปลาตัวเมียแต่ส่วนของครีบกระโดงหลังของตัวผู้จะ ยาวกว่าของตัวเมีย เมื่อปลามีอายุได้ประมาณ 4 เดือน จับขายได้ ส่วนใหญ่จะขายคละกันทั้งตัวผู้และตัวเมีย


          คุณวินัยได้อธิบายถึงความแตกต่างของการเลี้ยงปลาชนิดนี้ในบ่อดินและบ่อปูน ว่า ถ้าเลี้ยงในบ่อปูนปลาจะโตช้ากว่าที่เลี้ยงในบ่อดินถึง 1 เท่าตัว เช่น บ่อปูนใช้เวลาเลี้ยงนาน 4 เดือน ถึงจะจับขายได้ในขณะที่เลี้ยงในบ่อดินจะใช้เวลาเพียง 2-3 เดือนเท่านั้น ควรจะมีการถ่ายน้ำทุก ๆสัปดาห์และจะต้องถ่ายออกทั้งหมด เนื่องจากในช่วงอนุบาลลูกปลาจะมีเศษอาหารหลงเหลืออยู่มาก

          สำหรับเคล็ดลับในการคัดเลือกพ่อ-แม่พันธุ์ปลา คุณวินัย บอกว่า คัดเอาปลารุ่นที่มีอายุ 4 เดือน ที่มีลักษณะตรงตามสายพันธุ์มาเป็น พ่อ-แม่พันธุ์ในรุ่นต่อไป โดยจะใช้พ่อ-แม่พันธุ์รุ่นนี้เพื่อให้ลูกนาน 2-3 เดือน ถึงจะเปลี่ยนพ่อ-แม่พันธุ์ชุดใหม่เข้ามาทดแทน ในการเลี้ยงปลาบอลลูน มอลลี่เพื่อการผลิตพันธุ์ไม่ควรเลี้ยงคละสี เพราะจะทำให้ปลากลายพันธุ์ได้

ที่มา : http://pet.kapook.com/view10309.html

ปลานีออน



ปลานีออน



ปลานีออน หรือ ปลานีออนเตตร้า (อังกฤษ: Neon, Neon tetra; ชื่อวิทยาศาสตร์Paracheirodon innesi) เป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาคาราซิน

ข้อมูลทั่วไป

เป็นปลาขนาดเล็กที่มีนิสัยชอบอยู่รวมเป็นฝูงใหญ่ในระดับกลางน้ำในป่าดิบชื้นที่มีไม้น้ำหนาแน่นในภาคตะวันออกเฉียงใต้ของโคลัมเบีย, ภาคตะวันออกของเปรู, และทางภาคตะวันตกของบราซิล มีรูปทรงยาวรี คล้ายเม็ดข้าวสาร ตาโต มีครีบบางใสยาวพอประมาณทั้ง 7 ครีบ (ครีบว่าย 2 ครีบท้อง 2 ครีบกระโดง 1 ครีบทวาร 1 ครีบหาง 1) มีครีบไขมันขนาดเล็ก ที่โคนหาง ลำตัวมีเกล็ดขนาดเล็กมันวาวปกคลุมทั้งตัว โดยที่ส่วนหลังจะสีเหลือบเขียวมะกอก มีเส้นเรืองแสงสีเขียวอมฟ้าพาดตั้งแต่จมูกผ่านลูกตายาวไปสุดที่ครีบไขมัน อันเป็นที่มาของชื่อ ปลานีออน ส่วนท้องเป็นสีขาวเงิน หลังจากช่องท้องไปถึงโคนหางมีสีแดงสด ขนาดโตเต็มที่ไม่เกิน 1 นิ้ว

การเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม

ด้วยความสวยงามจึงนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามอีกชนิดหนึ่ง ที่มีทั้งการส่งออกจากอเมริกาใต้ และเพาะขยายพันธุ์ได้ในหลายประเทศ เช่นอินโดนีเซียสิงคโปร์ และไทย เป็นต้น อุณหภูมิที่เหมาะสมของปลานีออนคือไม่เกิน 30 องศาเซลเซียส ปลานีออนจะมีนิสัยรักสงบ สามารถเลี้ยงเป็นฝูงได้ ทั้งยังสามารถเลี้ยงร่วมกับปลาอื่น ๆ ที่มีขนาดไล่เลี่ยกันได้อีกด้วย แต่ปลานีออนจะมีนิสัยขี้ตื่น ชอบกระโดด ดังนั้นสำหรับการเลี้ยงในตู้จึงควรจะมีฝาปิดให้มิดชิดด้วยเพื่อกันการที่ปลานีออนจะกระโดดออกมาตายนอกตู้ หากเป็นไปได้ ควรมีสถานที่ซ่อนเวลาที่ปลานีออนตกใจ ด้วยการหาขอนไม้, หิน หรือพรรณไม้น้ำมาเป็นที่ซ่อน

การเพาะขยายพันธุ์

ปลานีออนเป็นปลาอีกชนิดหนึ่งที่สามารถเพาะขยายพันธุ์ได้ในตู้เลี้ยง โดยใช้อัตราส่วนตัวผู้ 2-3 ต่อตัวเมีย 1 ตัว โดยปลาที่พร้อมที่จะผสมพันธุ์จะเห็นพฤติกรรมปลาตัวผู้ว่ายเคลียคลอตัวเมียอยู่ตลอดเวลา ซึ่งปลาที่มีพฤติกรรมเช่นนี้ควรแยกออกมาไว้ในตู้ที่จะใช้เพาะขยายพันธุ์
ตู้ที่ใช้สามารถใช้ตู้ขนาดเล็ก เพียงความกว้าง 20 หรือ 24 นิ้วก็สามารถใช้ได้ พื้นตู้อาจเป็นพื้นโล่งหรือมีสาหร่ายหรือสาหร่ายเทียมหรือเชือกฟางฝอยวางที่พื้นก้นตู้เพื่อป้องกันปลากินไข่ตัวเอง นำปลาชุดที่ไล่ผสมพันธุ์แยกออกมาปล่อยไว้ เมื่อปลาชินกับสถานที่อยู่และตัวเมียไข่สุกเต็มที่ ปลาจะวางไข่เม็ดลักษณะใสเม็ดขนาดเล็กหล่นลงมามากมาย เมื่อปลาวางไข่หมดแล้ว อาจนำเพศผู้ไปรวมฝูงดังเดิมแล้วนำตัวเมียแยกไว้พักฟื้นต่างหาก 1-2 วันก่อนปล่อยกลับไปรวมฝูงดังเดิม ไข่จะใช้เวลาฟักเป็นตัวราว 3 วัน ลูกปลาที่เกิดใหม่มีขนาดจิ๋วคล้ายเส้นด้าย อนุบาลลูกปลาด้วยอาหารขนาดเล็กหรือไรน้ำขนาดจิ๋ว เมื่อปลามีอายุได้ 3-6 เดือนก็พร้อมที่จะผสมพันธุ์
ที่มา : 

วันอังคารที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ปลาเทวดา



ปลาเทวดา




ปลาเทวดา (อังกฤษAngel fish) เป็นปลาน้ำจืดในสกุล Pterophyllum (/เทอ-โร-ไฟ-ลั่ม/) ในวงศ์ปลาหมอสี (Cichlidae) มีรูปร่างโดยรวมเป็นรูปสี่เหลี่ยมรูปว่าว ลำตัวแบนข้างมาก มีปากขนาดเล็ก ครีบหลังเป็นกระโดงสูงอยู่ค่อนไปทางด้านหาง ครีบหลังบานยาวออกมาจากลำตัว ครีบท้องมีอยู่หนึ่งคู่เรียวเล็กและปลายชี้แหลม พบในลุ่มแม่น้ำอเมซอนและแม่น้ำโอริโนโคในทวีปอเมริกาใต้และลุ่มแม่น้ำใกล้เคียง มีพฤติกรรมอาศัยอยู่รวมเป็นฝูงในถิ่นที่มีพืชพรรณไม้น้ำขึ้นหนาแน่น และสภาพน้ำมีความเป็นกรดเป็นด่าง (pH) ประมาณ 5-5.5
แบ่งออกได้เป็นทั้งหมด 3 ชนิด คือ
  • Pterophyllum altum เป็นชนิดที่ใหญ่ที่สุด เพราะมีความสูงของลำตัวเมื่อโตได้เต็มที่ถึง 15 นิ้ว ขณะที่ความยาวจากหัวถึงหางเพียง 8 นิ้วเท่านั้น มีหน้าผากที่ลาดกว่าชนิดอื่น ๆ มีพื้นลำตัวสีเทาอมเขียวและมีประกายสีเงินเคลือบทับทั่วตัว และมีลายเส้นสีดำจนหรือสีน้ำตาลไหม้พาดลำตัวเป็นแนวตั้งกลมกลืนกับจุดบนลำตัวก็ได้ โดยเส้นที่ยาวสุดจะเป็นเส้นที่ 5 ซึ่งเป็นเส้นบริเวณโคนหาง
  • Pterophyllum scalare มีลักษณะภายนอกเหมือนชนิด P. altum ทุกประการ แต่มีขนาดลำตัวที่เล็กลงมากว่ามาก ซึ่งปลาในชนิดนี้จัดเป็นต้นตระกูลของปลาเทวดาทั้งหมดที่นิยมเลี้ยงกันเป็นปลาตู้สวยงามเช่นทุกวันนี้ พบในแม่น้ำโอริโนโค
  • Pterophyllum leopoldi มีรูปร่างอ้วนสั้นเนื่องจากมีครีบบนและครีบล่างสั้นกว่าชนิดอื่นอย่างเห็นได้ชัด และมีจุดใหญ่สีเข้มบนเส้นที่ 4 ที่คาดลำตัวโดยบางตัวก็จะอยู่บริเวณติดกับครีบบน และส่วนหน้าผากจะมีแนวลาดมากกว่า นอกจากนี้ปลาเทวดาสายพันธุ์นี้ยังมีจุดเด่นพิเศษอีกอย่างคือลายเส้นเล็กที่อยู่ระหว่างเส้นใหญ่คาดตา และเส้นใหญ่คาดอกนั้น จะเป็นเส้นเล็กจาง ๆ 2 เส้น ไม่ได้เป็นเส้นเดียวเหมือน 2 ชนิดข้างต้น และมีความแตกต่างอีกประการหนึ่งคือมีเหลือบสีฟ้าเปล่งประกายทั่วทั้งตัว
ปลาเทวดาได้รับความนิยมในแง่ของการเป็นปลาตู้สวยงามมาช้านาน โดยผู้เลี้ยงนิยมเลี้ยงในตู้ไม้น้ำ ซึ่งปลาเทวดาเป็นปลาที่มีอุปนิสัยเรียบร้อย แต่ถ้าหากก้าวร้าวแล้วก็จะค่อนข้างยากที่จะเลี้ยงรวมกับปลาประเภทอื่น ๆ โดยมนุษย์นั้นได้พัฒนาสายพันธุ์ของปลาเทวดาชนิด P. scalare ให้มีสีสันแตกต่างจากเดิมไปมาก เช่น "ปลาเทวดาหินอ่อน" ที่มีสีสันเป็นสีดำสลับกับขาวทั้งตัว, "ปลาเทวดาดำ" ที่เป็นสีดำทั้งตัว, "ปลาเทวดาแพล็ตตินั่ม" ที่มีทั้งสีขาวสะอาดตา ดวงตาสีดำ และสีทองเหลือบเป็นประกายทั้งตัว ดวงตาสีแดง, "ปลาเทวดามุก" ที่เป็นสีเหลืองอ่อน ๆ ดูสะอาดตาทั้งตัว เป็นต้น
การขยายพันธุ์ของปลาเทวดา สามารถกระทำได้ในตู้เลี้ยง โดยวางไข่ติดกับวัตถุใต้น้ำที่มีลักษณะค่อนข้างมั่นคงแข็งแรง การวางไข่แต่ละครั้งประมาณ 300-1,000 ฟอง ใช้เวลาฟักเป็นตัวราว 36 ชั่วโมง ปลาที่พร้อมจะผสมพันธุ์และวางไข่ได้มีอายุตั้งแต่ 8-10 เดือนขึ้นไป
อนึ่ง นักมีนวิทยาบางคนได้จำแยกชนิดของปลาเทวดาให้มากกว่านี้ โดยมีชนิดถึง 5 ชนิด ได้แก่ P. dumeriliiP. eimekei ซึ่งเป็นอีก 2 ชนิดเพิ่มเติมขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการ เพราะเชื่อว่าทั้ง 2 ชนิดนั้นได้กลายพันธุ์มาจากชนิดที่มีดั้งเดิมอยู่แล้วทั้ง 3
และสำหรับในชนิด P. altum นั้น ในปัจจุบันได้มีการนิยมเลี้ยงกันมากขึ้น โดยมีชื่อเรียกกันว่า "ปลาเทวดาป่า" หรือ "ปลาเทวดาอัลตั้ม" แต่เป็นชนิดที่เลี้ยงค่อนข้างยาก เนื่องจากปลามักปรับตัวให้กับสภาพน้ำไม่ได้ ซึ่งในปัจจุบันสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้ว และในชนิด P. scalare ที่เป็นต้นตระกูลของสายพันธุ์ต่าง ๆ ในปัจจุบัน หากเป็นปลาที่เป็นปลาสายพันธุ์ดั้งเดิม ก็จะนิยมเรียกว่า "ปลาเทวดาอัลตั้มเปรู" หรือ "ปลาเทวดาอัลตั้มโอริโนโค"
ในสมัยอดีต ในการทำเหมืองใต้ดิน จะมีการนำปลาเทวดาหย่อนลงไปทดสอบก่อนที่มนุษย์จะลงไป เนื่องจากอาจมีก๊าซพิษอยู่ภายในใต้ดิน เพราะปลาเทวดาเป็นปลาที่มีความอ่อนไหวต่อสภาพอากาศง่ายมาก ซึ่งจากการช่วยไม่ให้มีมนุษย์ต้องตายนั้นจึงทำให้ได้ชื่อว่า "Angel fish" หรือ "ปลาเทวดา"

วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ปลาแรด

ปลาแรด



ปลาแรด (อังกฤษGiant gouramiชื่อวิทยาศาสตร์Osphronemus goramy) เป็นปลาน้ำจืดขนาดใหญ่ชนิดหนึ่งในวงศ์ Osphroneminae ซึ่งอยู่ในวงศ์ใหญ่ Osphronemidae นับเป็นปลาแรดชนิดที่เป็นที่รู้จักมากที่สุด

ลักษณะ

ลำตัวป้อมและแบนข้าง เกล็ดสากมือเป็นรูปหยัก มีก้านครีบท้องคู่แรกเป็นเส้นเรียวยาวคล้ายหนวด ใช้สำหรับสัมผัส ปลายหางมนกลม ปากแหลม ริมฝีปากหนา ภายในปากมีฟันซี่เล็ก ๆ แหลมคมเรียงอยู่ภายใน ส่วนหัวเล็กและป้าน เมื่อโตขึ้นมาโดยเฉพาะในปลาตัวผู้จะมีโหนกนูนขึ้นมาเรื่อย ๆ จนดูคล้ายนอแรด อันเป็นที่มาของชื่อสามัญในภาษาไทย โคนหางมีจุดสีดำคล้ำอยู่ทั้ง 2 ข้าง เมื่อโตขึ้นจุดดังกล่าวจะหายไป รวมทั้งอวัยวะส่วนอื่น ๆ เช่น ริมฝีปาก หรือขากรรไกรที่ใหญ่กว่าตัวเมีย ขณะที่ปลาตัวเมียจะมีจุดสีดำที่บริเวณโคนครีบอกทั้ง 2 ข้าง ส่วนตัวผู้ไม่มี

อาหาร

เป็นปลาที่กินได้ทั้งพืชและสัตว์น้ำ แต่นิยมกินพืชมากกว่า มีการกระจายพันธุ์ทั่วไปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งในส่วนที่เป็นแผ่นดินใหญ่ และที่เป็นหมู่เกาะ ในประเทศไทยพบได้ในพื้นที่ภาคกลางและบางส่วนของภาคใต้ มีขนาดโตเต็มที่ได้ถึง 90 เซนติเมตร จึงนับว่าเป็นปลาชนิดที่ใหญ่ที่สุดในวงศ์ Osphronemidae แต่ว่าขนาดโดยเฉลี่ยทั่วไปจะมีขนาดประมาณ 30-40 เซนติเมตร

ที่อยู่

เป็นปลาน้ำจืดเศรษฐกิจที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งของไทย โดยนิยมเพาะเลี้ยงกันในหลายพื้นที่ เช่น นิยมเลี้ยงกันที่แม่น้ำสะแกกรัง ในจังหวัดอุทัยธานีที่มีเลี้ยงกันในกระชังในแม่น้ำจนเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี[2]
นอกจากนี้แล้ว ยังนิยมเลี้ยงกันเป็นปลาสวยงามอีกด้วย โดยในปลาธรรมดาจะเรียกกันว่า "แรดดำ" และในปลาที่มีผิวเผือกจะเรียกว่า "แรดเผือก" หรือ "แรดเผือกตาแดง" นอกจากนี้แล้วยังมีปลาที่สีแตกต่างออกไปด้วย จากการเพาะขยายพันธุ์โดยมนุษย์

ที่มา : https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%94

วันอาทิตย์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ปลากราย

ปลากราย



ปลากราย (อังกฤษClown featherback, Clown knifefishชื่อวิทยาศาสตร์Chitala ornataปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์ปลากราย(Notopteridae) มีปากกว้างมาก มุมปากอยู่เลยขอบหลังลูกตา ในตัวเต็มวัยส่วนหน้าผากจะหักโค้ง ส่วนหลังโก่งสูง ในปลาวัยอ่อนมีสีเป็นลายเสือคล้ายปลาสลาด แต่จะเปลี่ยนเป็นสีเทาเงินและมีจุดกลมใหญ่สีดำขอบขาวที่ฐานครีบก้นตั้งแต่ 3-20 ดวง ซึ่งมีจำนวนและขนาดแตกต่างกันออกไปในแต่ละตัว มีขนาดโดยเฉลี่ย 60 เซนติเมตร ขนาดใหญ่สุดที่พบคือ 1 เมตร น้ำหนักได้ถึง 15 กิโลกรัม
มักอาศัยอยู่ในบริเวณที่มีกิ่งไม้ใต้น้ำหรือพืชน้ำค่อนข้างหนาแน่น อยู่รวมกันเป็นฝูงเล็ก อาหารได้แก่ ปลาและสัตว์น้ำขนาดเล็ก พบในแหล่งน้ำทั้งแหล่งน้ำนิ่งและแม่น้ำทั่วประเทศไทย รวมถึงในประเทศใกล้เคียง แต่ปัจจุบันพบน้อยลงมาก
ปลากรายนับเป็นปลาน้ำจืดอีกชนิดหนึ่งที่คนไทยนิยมบริโภค โดยเฉพาะใช้เป็นวัตถุดิบผลิตทอดมันหรือลูกชิ้น ราคาขายในตลาดจึงสูง ส่วนบริเวณเนื้อเชิงครีบก้น เรียกว่าเชิงปลากราย เป็นส่วนที่นิยมมาปรุงอาหารโดยนำมาทอดกระเทียมหรือชุบแป้งทอด แม้ว่าเนื้อจะมีก้างมาก แต่ก็เป็นที่นิยมเพราะมีรสชาติอร่อย นอกจากใช้เป็นอาหารแล้ว ยังนิยมเลี้ยงเป็นปลาเศรษฐกิจ เช่น เลี้ยงในท้องร่องสวน และนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามด้วย ที่เลี้ยง ง่าย อดทน และจะมีราคาแพงยิ่งขึ้นในตัวที่จุดเยอะ หรือตัวที่สีกลายเป็นสีเผือก หรือสีทองคำขาว หรือในตัวที่เป็นปลาพิการ ลำตัวสั้นกว่าปกติ มีชื่อเรียกอื่น เช่น "ปลาหางแพน" ในภาษากลาง "ปลาตอง" ในภาษาอีสาน "ปลาตองดาว" ในภาษาเหนือ เป็นต้น

วันเสาร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ปลาแฟนซีคาร์ป

ปลาแฟนซีคาร์ป

ประวัติ

เป็นปลาคาร์ปที่ถูกพัฒนาสายพันธุ์ขึ้นมาจากปลาคาร์ปธรรมดา ๆ ที่มีอยู่ในธรรมชาติหรือที่นำมารับประทานกันเป็นอาหาร เพื่อการเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม โดยเริ่มต้นขึ้นในราว ค.ศ. 200-ค.ศ. 300 โดยปลาคาร์ปต้นสายพันธุ์นั้นมีเพียง 3 สีเท่านั้น คือ แดงขาว และน้ำเงิน มีบันทึกว่าปลาคาร์ปบางตัวได้พัฒนาตัวเองมาเป็นสีส้ม ดังนั้นชาวจีนจึงนิยมนำมาเลี้ยงเพื่อเป็นความเป็นสิริมงคล
จากนั้นจึงได้เดินทางเข้าสู่ประเทศญี่ปุ่น บริเวณหมู่บ้านเชิงเขาที่ชื่อ ตาเกซาว่า, ฮิกาชิยามาโอตะ, ตาเนอุฮาร่า และกามากาชิมา โดยชาวบ้านที่หมู่บ้านเหล่านี้ได้นำปลาคาร์ปมาเลี้ยงเพื่อเป็นอาหารในยามฤดูหนาวหรือช่วงที่อาหารขาดแคลน จากนั้นในศตวรรษที่ 18 ที่เมืองเอจิโกะ ในจังหวัดนีงะตะได้บังเอิญเกิดมีปลาคาร์ปตัวหนึ่งซึ่งเป็นสีขาวและสีแดงตลอดทั้งตัวเกิดขึ้นมา สันนิษฐานว่าเป็นการผ่าเหล่า เกิดจากการผสมพันธุ์กันเองภายในสายเลือดใกล้ชิดกัน ซึ่งนำไปสู่การเพาะพันธุ์จนมาได้ ปลาที่มีลักษณะสีขาวสลับแดงในสายพันธุ์ที่มีชื่อว่า "โคฮากุ" (紅白) ขึ้นมาจนถึงในปัจจุบัน
จากนั้นความนิยมในการเลี้ยงปลาคาร์ปในประเทญี่ปุ่นก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1870 มีศูนย์กลางการเพาะเลี้ยงปลาขึ้นบริเวณเชิงเขาเมืองโอจิยะ จังหวัดนิอิกาตะ และฮิโรชิม่า มีการทำฟาร์ม ประกวด และพัฒนาสายพันธุ์จนกลายมาเป็นส่วนหนึ่งในวัฒนธรรมญี่ปุ่น ในเทศกาลเด็กผู้ชาย ซึ่งตรงกับวันที่ 5 พฤษภาคม ของทุกปี ซึ่งครอบครัวชาวญี่ปุ่นที่มีบุตรชายจะนำธงทิวที่มีสีสันหลากหลายรูปปลาคาร์ป ขึ้นแขวนไว้หน้าบ้าน เพื่อเป็นการแสดงสัญลักษณ์ให้เด็กเติบโตมาอย่างสมบูรณ์แข็งแรง ประดุจปลาคาร์ปที่ว่ายทวนกระแสน้ำเชี่ยว
ในปี ค.ศ. 1914 ได้มีผู้นำปลาคาร์ปขึ้นทูลเกล้าฯ มงกุฎราชกุมารโชวะ ซึ่งนับเป็นจุดที่ทำให้ความนิยมในการเลี้ยงปลาคาร์ปเผยแพร่กว้างไกลยิ่งขึ้น ต่อมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดภาวะขาดแคลนอาหารภายในประเทศญี่ปุ่น ปลาคาร์ปจึงถูกใช้ทำเป็นอาหารอีกครั้ง เมื่อสงครามยุติลง ยังมีผู้ที่เลี้ยงปลาที่ได้รักษาสายพันธุ์ไว้ พยายามฟื้นฟูและสงวนสายพันธุ์ขึ้นมา ปลาคาร์ปจึงได้กลับมาอีกครั้งในฐานะปลาสวยงามในวัฒนธรรมญี่ปุ่น จนมาถึงอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
แหล่งผลิตปลาคาร์ปสวยงามของญี่ปุ่นในปัจจุบัน ได้แก่ โอจิยะฮามามัตสึยามาโคชินากาโอะโตชิโอะ และคิตะอุโอนุมา ซึ่งประชากรในเมืองเหล่านี้ส่วนมากจะประกอบเพาะพันธุ์ปลาคาร์ปจำหน่าย โดยอาศัยแหล่งน้ำธรรมชาติ ตลอดจนภูมิอากาศและภูมิประเทศที่เอื้ออำนวยที่อยู่บนเขาซึ่งเหมาะแก่การเพาะเลี้ยงและขยายพันธุ์เป็นอย่างยิ่ง การเลี้ยงปลาคาร์ปในประเทศญี่ปุ่นจึงเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็ว ทุกปีจะมีการประกวดทั่วทั้งประเทศ ที่กรุงโตเกียว อันเป็นเมืองหลวง นอกจากนี้แล้วยังมีการประกวดในระดับภูมิภาคแยกย่อยอีก รวมถึงในระดับนานาชาติอีกด้วย
ในปี ค.ศ. 1966 สมาคมผู้เลี้ยงปลาคาร์ปแห่งญี่ปุ่น ได้ร่วมกันสร้างอนุสาวรีย์ปลาคาร์ปขึ้น โดยสลักคำว่า "แหล่งกำเนิดนิชิกอย" (錦鯉起源の新) ขึ้นไว้เป็นอนุสรณ์ขึ้นที่หน้าโรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่ง ในเมืองนิกาตะ เพื่อเป็นการระลึกถึงเมืองที่เป็นจุดกำเนิดปลาแฟนซีคาร์ป

ที่มา : 
  1.  "Pictures available for Cyprinus carpio haematopterus.". www.fishbase.org. สืบค้นเมื่อ 2010-10-31.
  2. กระโดดขึ้น "กระจกหกด้าน: มัจฉาเสริมโชค". ช่อง 7. 15 September 2014. สืบค้นเมื่อ 15 September 2014.
  3. กระโดดขึ้น สถาพร ชื่นใจ, ปลาคาร์ฟครับ คอลัมน์ Colorful Cyprinus หน้า 34-37 นิตยสาร Aquaium Biz ฉบับที่ 17 ปีที่ 2: พฤศจิกายน 2011
  4. กระโดดขึ้น 87021- มาเลี้ยงปลาคาร์ฟ กันเถอะ (ไทย)